วันศุกร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2563

For My Treasured Family......Challenge Day1 ต้องโกรธไหมนี่

    

Bible Diary 14/8/2020
  มีช่วงชีวิตหนึ่งในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่เราพยายามหาความหมายของชีวิต จำได้ว่า 11-12 ขวบนี่แหละ และเราก็ได้คำตอบจากหนังสือ "พหรมจรรย์มรรค" และ Think and Grow Rich ของ Napoleon Hill.......

แต่ทั้งหมดนั้นก็ยังสู้คำสอนของพระพุทธเจ้าหรือพระวาจาของพระเจ้าไม่ได้เลย เราเลยท้าทายตัวเองว่า ชีวิตเรา 365 วัน ควรบันทึกไว้เพื่อแบ่งปันประสบการณ์จากการรำพึง เพราะชีวิตอย่างไรเสียต้องได้พบเจอกิเลสทั้งหลายที่เข้ามาทดสอบเราวนไปเสมอ

เรื่องของเมื่อวาน........(การสมมติตัวละครและสถานที่เพื่อเพิ่มอรรถรส หากไปตรงกับใคร ต้องขออภัยมาณ.ที่นี้ด้วย) 

ฮิลตัน : วันนี้เราคงต้องเร่งรัดการชำระหนี้ของบริษัทโซเซกับยูดาสแล้วล่ะ เขาสัญญาไว้ไม่ใช่หรือที่จะชำระเราในวันนี้

ลอนดอน : จริง แต่เขาบอกว่าวันนี้เขาไม่ว่างไปธนาคารให้เรา ขอรอเป็นพรุ่งนี้นะ

ฮิลตัน : เมื่อวานซืน (วันก่อนเมื่อวาน) เขาก็พูดแบบนี้ไม่ใช่หรือ และรับปากว่าจะไปทำให้เราวันนี้

ลอนดอน : ใช่ เขาบอกว่าแต่ถ้าเร่งมากเขาจะไปให้หลังเลิกงาน

ฮิลตัน : ถ้าอย่างนั้นเราจะได้เงินทันไปให้กับคนที่เขากำลังเดือดร้อน รอเงินเรามาเป็นเดือนแล้วหรือ คงต้องรอได้เงินไปอีก สองวันใช่ไหมถ้าไปเอาเช็คเข้าตอนเย็นขนาดนั้น และนี่ก็วันพฤหัสบดีแล้ว

ลอนดอน : ใช่ค่ะ

(ตัดมาที่รอดเฉย)

รอดเฉย : สวัสดีครับ เราจะประชุมออนไลน์กันเลยไหมครับเพื่อจะได้สรุปกิจกรรมที่เราจะเดินไปข้างหน้าตามแผนความร่วมมือที่เราวางกันไว้

ลอนดอน : ได้ค่ะ เดี๋ยวไปตามคุณฮิลตันมาประชุมก่อนนะคะ คุณรอดเฉยเรียกประชุมในระบบได้เลยค่ะ

ลอนดอนและฮิลตัน : สวัสดีค่ะคุณรอดเฉย 

ฮิลตัน : เรามาดูแผนรวมที่เราวางไว้เลยนะคะ คุณลอนดอนได้ลงกิจกรรมที่เกี่ยวข้องและวันที่ไว้เรียบร้อยแล้วค่ะ สำหรับงานที่เราต้องส่งก่อนวันประชุมคราวต่อไป มีส่วนที่คุณรอดเฉยต้องช่วยคุณลอนดอนด้วยนะคะ ไม่ทราบว่าคุณรอดเฉยพอใจหรือต้องการแก้ไขอะไรไหมคะ

รอดเฉย : ดูดีแล้วครับ ไม่มีอะไรจะแก้ไขครับ แต่เออ.......ผมขอถามหน่อยครับว่าตกลงตอนนี้เราจะขายอะไรกันบ้างครับ

ลอนดอนและฮิลตัน : ?!?!?

ฮิลตัน : (สุดหายใจลึกๆ) เออ ไม่ทราบคุณรอดเฉยได้ศึกษา Business Model Canvas ที่เราคุยกันหรือเปล่าคะ

รอดเฉย : ครับ

ฮิลตัน : (โอเค ทวนครั้งที่ ......) งั้นขออนุญาตอธิบายแบบนี้ละกันนะคะ เผื่อจะเข้าใจขึ้น .........🔊👄👄👄

รอดเฉย : เข้าใจครับ แต่เรื่องไฟฟ้านี่เราจะขายอะไรดีครับ

ฮิลตัน : ?!?!?

 .................ครึ่งชั่วโมงผ่านไป.....

รอดเฉย : สรุปวันนี้เราประชุมผู้บริหารนะครับ คำถามของผมคงหมายถึงต้องรอคุณลอนดอนไปทำรายละเอียดมาก่อนนะครับ พอดีผมใจร้อนอยากเห็นภาพก่อนน่ะครับ

ฮิลตัน : ค่ะ งั้นเราประชุมกันอีกทีวันที่ 22 นะคะ

ลอนดอนและรอดเฉย : ค่ะ ครับ

When you wake up in the morning, tell yourself: The people I deal with today will be meddling, ungrateful, arrogant, dishonest, jealous, and surly. They are like this because they can’t tell good from evil. But I have seen the beauty of good, and the ugliness of evil, and have recognized that the wrongdoer has a nature related to my own—not of the same blood or birth, but the same mind, and possessing a share of the divine. And so none of them can hurt me. No one can implicate me in ugliness. Nor can I feel angry at my relative, or hate him. We were born to work together like feet, hands, and eyes, like the two rows of teeth, upper and lower. To obstruct each other is unnatural. To feel anger at someone, to turn your back on him: these are obstructions.

บทอ่านจากหนังสือประกาศกเอเสเคียล (อสค 12:1-12)
             
องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า “บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย ท่านอาศัยอยู่ในหมู่พงศ์พันธุ์กบฏ เขามีตาเพื่อเห็น แต่ไม่ยอมดู มีหูเพื่อฟัง แต่ไม่ยอมฟัง เพราะเขาเป็นพงศ์พันธุ์กบฏ บัดนี้ บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย ท่านจงจัดเตรียมข้าวของสำหรับถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลย แล้วออกเดินทางไปเป็นเชลยในเวลากลางวันเพื่อให้ทุกคนเห็น ท่านจะต้องออกเดินทางไปเป็นเชลยจากสถานที่หนึ่งไปยังอีกสถานที่หนึ่งต่อหน้าเขา เขาอาจจะเข้าใจได้ว่าตนเป็นพงศ์พันธุ์กบฏ จงนำข้าวของออกมาตอนกลางวันให้เขาเห็น เหมือนเป็นข้าวของของผู้ถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลย จงเจาะช่องในกำแพงต่อหน้าเขา แล้วออกไปตามช่องนั้น จงยกข้าวของใส่บ่าต่อหน้าเขา แล้วแบกออกไปเมื่อมืดแล้ว ท่านจงคลุมใบหน้าเพื่อจะไม่เห็นพื้นดิน เพราะเราทำให้ท่านเป็นเครื่องหมายสำหรับพงศ์พันธุ์อิสราเอล”


ข้าพเจ้าก็ทำตามที่ข้าพเจ้าได้รับคำสั่ง ข้าพเจ้านำข้าวของออกมาเวลากลางวัน เหมือนเป็นข้าวของของผู้ถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลย ในเวลาเย็นข้าพเจ้าใช้มือเจาะช่องในกำแพง เมื่อมืดแล้ว ข้าพเจ้าก็ออกไป แบกข้าวของออกไปต่อหน้าเขา
เช้าวันรุ่งขึ้น องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า “บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย พงศ์พันธุ์อิสราเอล พงศ์พันธุ์กบฏได้ถามท่านหรือไม่ว่า ‘ท่านกำลังทำอะไร’ จงตอบเขาว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ คำพยากรณ์นี้มีไว้สำหรับเจ้านายที่กรุงเยรูซาเล็มและพงศ์พันธุ์อิสราเอลทุกคนที่อาศัยอยู่ในเมืองนั้น’ จงพูดว่า ‘ข้าพเจ้าเป็นเครื่องหมายสำหรับท่าน ข้าพเจ้าได้ทำอย่างไร เขาทั้งหลายก็จะถูกบังคับให้ทำอย่างนั้น เขาจะถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลย’ เจ้านายซึ่งอยู่ในพวกเขาจะต้องยกข้าวของใส่บ่าเมื่อมืดแล้ว และจะออกไปทางกำแพงที่เขาทั้งหลายเจาะช่องให้ออกไปได้ เขาจะคลุมใบหน้าเพื่อจะมองไม่เห็นแผ่นดินอีก”

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว (มธ 18:21-19:1)
           เวลานั้น เปโตรเข้ามาทูลถามพระเยซูเจ้าว่า “พระเจ้าข้า ถ้าพี่น้องทำผิดต่อข้าพเจ้า ข้าพเจ้าต้องยกโทษให้เขาสักกี่ครั้ง ถึงเจ็ดครั้งหรือไม่” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “เราไม่ได้บอกท่านว่าต้องยกโทษให้เจ็ดครั้ง แต่ต้องยกโทษให้เจ็ดคูณเจ็ดสิบครั้ง”
อาณาจักรสวรรค์เปรียบได้กับกษัตริย์พระองค์หนึ่ง ทรงประสงค์จะตรวจบัญชีหนี้สินของผู้รับใช้ ขณะที่ทรงเริ่มตรวจบัญชีนั้น มีผู้นำชายผู้หนึ่งเข้ามา ชายผู้นี้เป็นหนี้อยู่หนึ่งหมื่นตะลันต์ เขาไม่มีสิ่งใดจะชำระหนี้ได้ กษัตริย์จึงตรัสสั่งให้ขายทั้งตัวเขา บุตร ภรรยาและทรัพย์สินทั้งหมดเพื่อใช้หนี้ ผู้รับใช้กราบพระบาททูลอ้อนวอนว่า ‘ขอทรงพระกรุณาผัดหนี้ไว้ก่อนเถิด แล้วข้าพเจ้าจะชำระหนี้ให้ทั้งหมด’ กษัตริย์ทรงสงสารจึงทรงปล่อยเขาไปและทรงยกหนี้ให้ ขณะที่ผู้รับใช้ออกไป ก็พบเพื่อนผู้รับใช้ด้วยกันซึ่งเป็นหนี้เขาอยู่หนึ่งร้อยเหรียญ เขาเข้าไปคว้าคอบีบไว้แน่น พูดว่า ‘เจ้าเป็นหนี้ข้าอยู่เท่าไร จงจ่ายให้หมด’
เพื่อนคนนั้นคุกเข่าลงอ้อนวอนว่า ‘กรุณาผัดหนี้ไว้ก่อนเถิด แล้วข้าพเจ้าจะชำระหนี้ให้’ แต่เขาไม่ยอมฟัง นำลูกหนี้ไปขังไว้จนกว่าจะชำระหนี้หมด เพื่อนผู้รับใช้อื่นๆ เห็นดังนั้นต่างสลดใจมาก จึงนำความทั้งหมดไปทูลกษัตริย์ พระองค์จึงทรงเรียกชายผู้นั้นมา ตรัสว่า ‘เจ้าคนสารเลว ข้ายกหนี้สินของเจ้าทั้งหมดเพราะเจ้าขอร้อง เจ้าต้องเมตตาเพื่อนผู้รับใช้ด้วยกัน เหมือนกับที่ข้าได้เมตตาเจ้ามิใช่หรือ’ กษัตริย์กริ้วมาก ตรัสสั่งให้นำผู้รับใช้นั้นไปทรมานจนกว่าจะชำระหนี้ทั้งหมด พระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์จะทรงกระทำต่อท่านทำนองเดียวกัน ถ้าท่านแต่ละคนไม่ยอมยกโทษให้พี่น้องจากใจจริง”
เมื่อพระเยซูเจ้าตรัสเรื่องนี้จบแล้ว จึงเสด็จออกจากแคว้นกาลิลีเข้าไปในแคว้นยูเดีย อีกฟากหนึ่งของแม่น้ำจอร์แดน


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

You are free to comment. We will treat it as our honor.