วันอังคารที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2563

For My Treasured Family.........Challenge Day 4 ไปม็อบไหม

Bible Diary 17/8/2020


ลอนดอน : คุณฮิลตัน เราไปม็อบกันไหมคะ
ฮิลตัน : คงไม่ไปค่ะ
>>>หวนนึกถึงการไปม็อบครั้งแรกตอนปีหนึ่ง มีการเคลื่อนไหวเพื่อขับไล่อธิการบดี เราไม่รู้เรื่อง รู้แต่ว่ารุ่นน้องใหม่ต้องไปนั่งหน้าทบวงฯทุกคน ไม่ไปไม่เป็นไรจ้า แต่รุ่นพี่จำแม่น สุดท้ายเราได้อะไร.....ไม่รู้เรื่องเลย

ลอนดอน : คุณฮิลตันคะ คิดอะไรอยู่หรือคะ
ฮิลตัน : อ๋อ ก็กำลังคิดหาเหตุผลน่ะ ว่าการที่เราไม่ไปนั้นมันขัดแย้งกับเสียงในสมองของเราหรือเปล่า เราพยายามจะได้ยินตัวเองอยู่ โดยไม่เอาความรู้สึกพวกพ้องมาเกี่ยวข้องน่ะ
ลอนดอน : แล้วได้ยินว่าไงคะ
ฮิลตัน : ก็เริ่มจากการรู้จักตัวเองก่อนไง ว่าสิ่งศักดิ์สิทธิหรือธรรมชาติให้เรามาทำอะไร อย่างนกนี่ เช้ามาก็บินออกไปทำมาหากิน หากถิ่นที่อยู่แร้นแค้นลง ก็ย้ายถิ่นฐาน ไปที่เหมาะสม หรือถ้าต่อสู้เพื่ออยู่รอดไม่ได้ เผ่าพันธ์ก็หายไป นี่เป็นกฎธรรมชาติ เป็นกฎของทุกสรรพสิ่งที่มีชีวิต ไม่เลือกอะไรทั้งนั้น แม้แต่ต้นไม้ในป่าก็เช่นกัน ธรรมชาติไม่เคยโหดร้ายนะ แต่การไม่เข้าใจธรรมชาตินี่สิโหดร้าย ยากไปไหม
ลอนดอน : ไม่ค่ะ กำลังสนุก ต่อเลยค่ะ
ฮิลตัน : หลักสำคัญเลยนะ คือคนเราเกิดมาเพื่อทำตัวเองให้เป็นประโยชน์ต่อ Common Good อย่างนกจับหนอนก็เพื่อให้วัฏจักรชีวิตมันสมดุล ทีนี้คนฉลาดกว่านก มันก็เลยไม่สมดุล มันก็เลยมีม็อบ ทีนี้ถ้าม็อบนี้เพื่อ Common Good ก็แสดงว่าจะไม่มีม็อบอีกฝ่ายที่เสียประโยชน์มาหักล้าง จริงมะ แต่ที่มีเพราะมันไม่ใช่ Common Good นะ และนี่แหละคือธรรมชาติ ผลัดกันไปมา ลองมาคิดดูนะ แต่เล็กเราก็มีเหตุผลที่เราทะเลาะกับเพื่อนเสมอๆ ซึ่งจริงๆแล้วคิดให้ดีทุกคนก็มีเหตุผล แต่ถ้าในภาวะแบบนี้ เราอยากทำเพื่อ Common Good ไม่เห็นต้องไปเป็นรัฐบาลเลย ทำเรื่องในขอบเขตของเรา ให้ดีเพื่อส่วนรวมก็ได้แล้ว ในชุมชน ในเขตเมือง....เราอาจจะคิดไม่เหมือนใคร แต่เราว่าคงไม่ไปม็อบหรอก มันมีอีกตั้งหลายวิธีที่จะทำสิ่งดีๆ เพื่อส่วนรวม ดู Winston Churchill สิ



Don’t waste the rest of your time here worrying about other people—unless it affects the common good. It will keep you from doing anything useful. You’ll be too preoccupied with what so-and-so is doing, and why, and what they’re saying, and what they’re thinking, and what they’re up to, and all the other things that throw you off and keep you from focusing on your own mind.
Remember how long you’ve been putting this off, how many extensions the gods gave you, and you didn’t use them. At some point you have to recognize what world it is that you belong to; what power rules it and from what source you spring; that there is a limit to the time assigned you, and if you don’t use it to free yourself it will be gone and will never return. 5. Concentrate every minute like a Roman—like a man—on doing what’s in front of you with precise and genuine seriousness, tenderly, willingly, with justice. And on freeing yourself from all other distractions. Yes, you can—if you do everything as if it were the last thing you were doing in your life, and stop being aimless, stop letting your emotions override what your mind tells you, stop being hypocritical, self-centered, irritable. You see how few things you have to do to live a satisfying and reverent life? If you can manage this, that’s all even the gods can ask of you.

บทอ่านจากหนังสือวิวรณ์ (วว 11:19ก;12:1-6ก,10ก)
           
พระวิหารของพระเจ้าในสวรรค์เปิดออก มองเห็นหีบพันธสัญญาในพระวิหาร เครื่องหมายยิ่งใหญ่ปรากฏในสวรรค์ คือสตรีผู้หนึ่งมีดวงอาทิตย์เป็นอาภรณ์ มีดวงจันทร์อยู่ใต้เท้า มีมงกุฎดาวสิบสองดวงประดับศีรษะ นางมีครรภ์แก่ กำลังร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดจะคลอดบุตร


              เครื่องหมายอีกประการหนึ่งปรากฏในสวรรค์ คือมังกรใหญ่สีแดง มีเจ็ดหัวและสิบเขา แต่ละหัวสวมมงกุฎ หางของมันตวัดดวงดาวหนึ่งในสามบนท้องฟ้าให้ตกลงมาบนแผ่นดิน มังกรยืนอยู่ตรงหน้าสตรีที่กำลังจะคลอดบุตรเพื่อจะกินบุตรของนางทันทีที่คลอด นางคลอดบุตรเป็นชาย ซึ่งจะต้องปกครองชาติทั้งหลายด้วยคทาเหล็ก แต่บุตรของนางถูกคว้าตัวขึ้นไปเฝ้าพระเจ้ายังพระบัลลังก์ของพระองค์ ส่วนสตรีนั้นหลบหนีไปในถิ่นทุรกันดาร ที่นั่นนางมีที่พำนักซึ่งพระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้
ข้าพเจ้าได้ยินเสียงดังจากสวรรค์ว่า “บัดนี้ ความรอดพ้น พระอานุภาพและพระราชอาณาจักรเป็นของพระเจ้าของเราแล้ว และอำนาจเป็นของพระคริสต์ของพระองค์”

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโครินธ์ ฉบับที่หนึ่ง (1 คร 15:20-26,)
           พี่น้อง ความจริง พระคริสตเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตาย เป็นผลแรกของบรรดาผู้ล่วงหลับไปแล้ว ความตายมาจากมนุษย์คนหนึ่งฉันใด การกลับคืนชีพของบรรดาผู้ตายก็มาจากมนุษย์คนหนึ่งฉันนั้น มนุษย์ทุกคนตายเพราะอาดัมฉันใด มนุษย์ทุกคนก็จะกลับมีชีวิตเพราะพระคริสตเจ้าฉันนั้น แต่จะเป็นไปตามลำดับของแต่ละคน พระคริสตเจ้าทรงเป็นผลแรก ต่อไปก็คือผู้ที่เป็นของพระคริสตเจ้า เมื่อพระองค์จะเสด็จมา แล้วจะถึงวาระสุดท้าย เวลานั้นพระองค์จะทรงมอบพระอาณาจักรให้แก่พระเจ้าพระบิดา หลังจากทรงทำลายการปกครอง อำนาจและอานุภาพทั้งหลาย เพราะพระคริสตเจ้าจะต้องทรงครองราชย์จนกว่าพระเจ้าจะทรงปราบศัตรูทั้งมวลให้อยู่ใต้พระบาทของพระองค์ ศัตรูสุดท้ายที่จะถูกทำลายคือความตาย เพราะพระเจ้าทรงปราบทุกสิ่งให้อยู่ใต้พระบาทของพระองค์

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา (ลก 1:39-56)
           หลังจากนั้นไม่นาน พระนางมารีย์ทรงรีบออกเดินทางไปยังเมืองหนึ่งในแถบภูเขาแคว้นยูเดีย พระนางเสด็จเข้าไปในบ้านของเศคาริยาห์และทรงทักทายนางเอลีซาเบธ เมื่อนางเอลีซาเบธได้ยินคำทักทายของพระนางมารีย์ บุตรในครรภ์ก็ดิ้น นางเอลีซาเบธได้รับพระจิตเจ้าเต็มเปี่ยม ร้องเสียงดังว่า “เธอได้รับพระพรยิ่งกว่าหญิงใดๆ และลูกของเธอก็ได้รับพระพรด้วย ทำไมหนอพระมารดาขององค์พระผู้เป็นเจ้า จึงเสด็จมาเยี่ยมข้าพเจ้า เมื่อฉันได้ยินคำทักทายของเธอ ลูกในครรภ์ของฉันก็ดิ้นด้วยความยินดี เธอเป็นสุขที่เชื่อว่า พระวาจาที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสแก่เธอไว้จะเป็นจริง”

           พระนางมารีย์ ตรัสว่า “วิญญาณข้าพเจ้าประกาศความยิ่งใหญ่ขององค์พระผู้เป็นเจ้า จิตใจของข้าพเจ้าชื่นชมยินดีในพระเจ้า พระผู้ทรงกอบกู้ข้าพเจ้า เพราะพระองค์ทอดพระเนตรผู้รับใช้ต่ำต้อยของพระองค์ ตั้งแต่นี้ไป ชนทุกสมัยจะกล่าวว่าข้าพเจ้าเป็นสุข พระผู้ทรงสรรพานุภาพทรงกระทำกิจการยิ่งใหญ่สำหรับข้าพเจ้า พระนามของพระองค์ศักดิ์สิทธิ์ พระกรุณาต่อผู้ยำเกรงพระองค์แผ่ไปตลอดทุกยุคทุกสมัย พระองค์ทรงยกพระกรแสดงพระอานุภาพ ทรงขับไล่ผู้มีใจมักใหญ่ใฝ่สูงให้กระจัดกระจายไป ทรงคว่ำผู้ทรงอำนาจจากบัลลังก์ และทรงยกย่องผู้ต่ำต้อยให้สูงขึ้น พระองค์ประทานสิ่งดีทั้งหลายแก่ผู้อดอยาก ทรงส่งเศรษฐีให้กลับไปมือเปล่า พระองค์ทรงช่วยเหลืออิสราเอล ผู้รับใช้พระองค์ โดยทรงระลึกถึงพระกรุณา ดังที่ทรงสัญญาไว้แก่บรรพบุรุษของเรา แก่อับราฮัมและบุตรหลานตลอดไป
พระนางมารีย์ประทับอยู่กับนางเอลีซาเบธประมาณสามเดือนจึงเสด็จกลับ

>>>>>>>>>>>>>


วันจันทร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2563

For My Treasured Family.........Challenge Day 3 การใช้ชีวิต

วันนี้วันอาทิตย์ ตื่นสายกว่าปกติไปหน่อย เพราะเพลียจากการขับรถและอายุที่มากขึ้น หลายสิบปีมานี้ เราก็เข้าใจความหมายของชีวิตมากขึ้น การฝึกสมาธิหลากหลายสำนักที่ผ่านมา จบลงที่ GOENKA เพื่อการรู้จักตัวเองและความหมายของการมีชีวิต เหมือนคำสอนของพระคัมภีร์ที่แสดงว่าพระทรงสร้างเรามาเพื่อใช้ชีวิตตามพระฉายาของพระองค์

ลอนดอน : ทำไมคุณฮิลตันต้องทำแบบนี้ค่ะ เกี่ยวข้องกับคนเยอะไปหมด ตัวเองก็แทบจะเอาตัวไม่รอดอยู่แล้ว
ฮิลตัน : ไม่รู้สิ เราอาจจะเกิดมาเป็นแบบนี้ เสียงในสมองเราบอกแบบนี้ และเราไม่อยากสงสัย เพราะความสงสัยไม่ใช่ธรรมชาติ พระพุทธเจ้าต้องการให้เราเข้าใจธรรมชาติ พระคัมภีร์ก็บอกให้เราทำตัวเหมือนเด็กที่ใสซื่อ......

จริงๆแล้วเหตุการณ์หลายอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิต เป็นตัวกระตุ้นทำให้เราคิดได้อีกหลายเรื่อง ถ้าเราเข้าใจธรรมชาติ ธรรมชาติไม่มีความโหดร้าย แต่ความไม่เข้าใจธรรมชาตินั่นแหละโหดร้าย สิ่งที่เกิดขึ้นทุกอย่างที่เราต้องพบก็เกิดขึ้นจากเราเองทั้งนั้น อันนี้เป็นความจริง ไม่ต้องไปหาความจริงที่ไหน และถ้าเราต้องการคิดเปลี่ยน ก็ต้องเปลี่ยนที่เรา ไม่ต้องไปหวังการเปลี่ยนแปลงใดๆ ถ้าชีวิตที่ผ่านมาใครอยากเข้าใจว่าเราทำอะไรเพราะอะไร....ง่ายๆเลย

"getting the most out of ourselves, calculating where our duty lies, analyzing what we hear and see, deciding whether it’s time to call it quits—all the things you need a healthy mind for........If there were anything harmful on the other side of death, they would have made sure that the ability to avoid it was within you."

Don’t ever forget these things:
The nature of the world.
My nature. 
How I relate to the world. 
What proportion of it I make up. 
That you are part of nature, and no one can prevent you from speaking and acting in harmony with it, always.

IT IS ME - Home | Facebook


Nature (Quote) | Intimate relationship, Nature quotes, J ...

“Let us keep to the way which Nature has mapped out for us, and let us not swerve therefrom. If we follow Nature, all is easy and unobstructed; but if we combat Nature, our life differs not a whit from that of men who row against the current...................We are members of one great body, planted by nature … We must consider that we were born for the good of the whole.” Seneca quoted.

บทอ่านจากหนังสือประกาศกเอเสเคียล (อสค 18:1-10,13ข,30-32)
 
องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า “ทำไมท่านทั้งหลายจึงกล่าวคำพังเพยนี้ซ้ำซากในแผ่นดินอิสราเอลว่า ‘พ่อกินผลองุ่นเปรี้ยว แต่ลูกเข็ดฟัน’
เรามีชีวิตอยู่แน่ฉันใด องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัส ท่านทั้งหลายจะต้องไม่ใช้คำพังเพยนี้อีกต่อไปในอิสราเอล ดูซิ ชีวิตทั้งหลายเป็นของเรา ชีวิตของพ่อเป็นของเราฉันใด ชีวิตของลูกก็เป็นของเราฉันนั้น ผู้ใดทำบาป ผู้นั้นจะต้องตาย”

“ถ้าคนหนึ่งเป็นผู้ชอบธรรม ปฏิบัติความถูกต้องและความยุติธรรม ถ้าเขาไม่กินของถวายตามสักการสถานบนที่สูง ไม่เงยหน้าขึ้นคารวะรูปเคารพของพงศ์พันธุ์อิสราเอล ไม่ล่วงเกินภรรยาของเพื่อนบ้าน ไม่เข้าหาหญิงที่มีประจำเดือน ไม่ข่มเหงผู้อื่น แต่คืนของประกันแก่ลูกหนี้ ไม่ลักทรัพย์ แต่ให้อาหารแก่ผู้หิวโหยและให้เสื้อผ้าแก่ผู้ไม่มีเสื้อผ้าคลุมกาย ไม่ให้ผู้อื่นยืมเงินเพื่อเรียกดอกเบี้ยหรือหากำไร ยั้งมือไว้ไม่ทำความชั่ว ตัดสินคู่ความอย่างยุติธรรม ดำเนินชีวิตตามข้อกำหนดและปฏิบัติตามคำวินิจฉัยของเราอย่างซื่อสัตย์ คนนั้นก็เป็นผู้ชอบธรรม เขาจะมีชีวิต” องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัส
“แต่ถ้าคนหนึ่งมีบุตรเป็นโจร เป็นฆาตกร และทำความชั่วเหล่านี้ เขาจะไม่มีชีวิตอย่างแน่นอน เขาจะต้องตายแน่ๆ เพราะเขาได้ทำสิ่งน่าสะอิดสะเอียน และจะต้องตายเพราะความผิดของตน”
ดังนั้น พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย เราจะพิพากษาแต่ละคนตามความประพฤติของเขา องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัส จงกลับใจและเลิกการล่วงละเมิดทั้งหมดของท่าน แล้วความผิดของท่านจะไม่เป็นเหตุให้ท่านพินาศ จงละทิ้งการล่วงละเมิดทั้งหมดที่ท่านได้ทำ จงทำตนให้มีใจใหม่และจิตใหม่ พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย ทำไมท่านจะต้องตายเล่า เราไม่พอใจในความตายของผู้ใด องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัส จงกลับใจเถิด แล้วท่านจะมีชีวิต”

สดด 51:10-12ก,12ข-13,16-17

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว (มธ 19:13-15)
                ขณะนั้น มีผู้นำเด็กเล็กๆ มาให้พระองค์ทรงปกพระหัตถ์อวยพร แต่บรรดาศิษย์กลับดุว่าคนเหล่านั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “ปล่อยให้เด็กเล็กๆ มาหาเราเถิด อย่าห้ามเลย เพราะอาณาจักรสวรรค์เป็นของคนที่เหมือนเด็กเหล่านี้” พระองค์ทรงปกพระหัตถ์ให้เด็กเหล่านั้น แล้วจึงเสด็จไปจากที่นั่น


>>>>>>>>>>>>>>>>

วันเสาร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2563

For My Treasured Family.........Challenge Day 2 ทำบุญยังไงดี


Bible Diary 15/8/2020

  วันที่ 2 ของความตั้งใจแล้วนะ ถ้าพูดถึงการทำบุญแล้ว จำได้แม่นเลยว่าคุณแม่สอนว่าการทำบุญที่ดีที่สุดคือการช่วยคนที่เดือดร้อนจริงๆ เช่นขับรถไปเจออุบัติเหตุคนเสียชีวิต ทำบุญโลงศพไป หรือเจอสะพานหัก ซ่อมให้เขาเลย ได้บุญเพราะใจเราเป็นกุศลเวลานั้น


หลังจากได้เหงื่อจากการไปออกกำลังกาย........
ฮิลตัน : บริษัทโซเซชวนเราพรุ่งนี้ไปทำอาหารเลี้ยงเด็กกันที่พัทยานะ
ลอนดอน : มันเป็นวันพักผ่อนของเรานะคะ อีกอย่างครอบครัวท่านประธานก็ชวนเราไปทำบุญที่คริสเตียนนะคะ
ฮิลตัน : แต่เราอยากไปที่พัทยามากกว่าเพราะเราอยากไปให้กำลังใจพวกเขา ตอนนี้ที่นั่นมีหนี้เป็น 100 ล้านแล้วนะ เพราะการช่วยเหลือคนนี่แหละ
ลอนดอน : บางทีนะคะ อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมคุณฮิลตันถึงอยากช่วยองค์กรนี่นัก ทั้งที่เราก็รู้ว่าอะไรเป็นอะไร
ตัดมาช่วงบ่าย.....เสียงสัญญาณจาก 

ลอนดอน : คุณฮิลตันจะทำบุญเลี้ยงอาหารเด็กร่วมกับคณะท่านประธานเท่าไหร่ดีคะ ท่านกำลังระดมเงินค่ะ
ฮิลตัน : ดูยอดสรุปอีกทีก่อนนะ เพราะเราทำบุญก็ต้องดูกำลังด้วยนะ
ลอนดอน : ค่ะ ช่วงนี้มากหลายฝ่ายนะคะ
 
Chinese Proverbs Table Names and Table Cards - Documents and Designs
Confucius quote: Give a man a fish, feed home for a day...

What wouldst thou be found doing when overtaken by Death? If I might choose, I would be found doing some deed of true humanity, of wide import, beneficent and noble. But if I may not be found engaged in aught so lofty, let me hope at least for this - what none may hinder, what is surely in my power - that I may be found raising up in myself that which had fallen; learning to deal more wisely with the things of sense; working out my own tranquillity, and thus rendering that which is its due to every relation of life….

Epictetus (Golden Sayings of Epictetus)

บทอ่านจากหนังสือประกาศกเอเสเคียล (อสค 16:59-63)
          องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัส เราจะทำกับเจ้าอย่างที่เจ้าได้ทำ เจ้าได้ดูหมิ่นคำสาบานและละเมิดพันธสัญญา แต่เรายังระลึกถึงพันธสัญญาของเรากับเจ้าเมื่อเจ้ายังเป็นสาว เราจะทำพันธสัญญากับเจ้าซึ่งจะคงอยู่ตลอดไป แล้วเจ้าจะระลึกถึงความประพฤติของเจ้าและจะอับอาย เมื่อเจ้าจะรับทั้งพี่และน้องสาวของเจ้า เราจะมอบเขาให้เป็นบุตรสาวของเจ้า แม้ไม่เป็นเงื่อนไขของพันธสัญญาที่เราทำกับเจ้า เราจะรื้อฟื้นพันธสัญญาของเรากับเจ้า เจ้าจะรู้ว่าเราเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า เพื่อเจ้าจะได้จดจำและมีความละอาย และจะไม่อ้าปากพูดอีกเพราะความอับอาย เมื่อเราจะให้อภัยทุกสิ่งที่เจ้าได้ทำ” องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัส


บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว (มธ 19:3-12)
              เวลานั้น ชาวฟาริสีบางคนเข้ามาเพื่อจับผิดพระเยซูเจ้า ทูลถามว่า “เป็นการถูกต้องหรือไม่ ที่ชายจะหย่าร้างกับภรรยาเนื่องด้วยเหตุใดก็ตาม” พระองค์ทรงตอบว่า “ท่านไม่ได้อ่านพระคัมภีร์หรือว่าเมื่อแรกนั้นพระผู้สร้างทรงสร้างมนุษย์ให้เป็นชายและหญิง และตรัสว่า ดังนี้ ชายจะละบิดามารดาไปสนิทอยู่กับภรรยาของตนและชายหญิงจะเป็นเนื้อเดียวกัน
เขาจึงไม่เป็นสองอีกต่อไป แต่เป็นเนื้อเดียวกัน ดังนั้น สิ่งที่พระเจ้าทรงรวมกันไว้ มนุษย์อย่าได้แยกเลย”
ชาวฟาริสีจึงทูลถามว่า “แล้วทำไมโมเสสจึงสั่งให้ชายทำหนังสือหย่าร้าง แล้วหย่าร้างได้” พระองค์ตรัสว่า “เพราะใจดื้อแข็งกระด้างของท่าน โมเสสจึงยอมอนุญาตให้หย่าร้างได้ แต่เมื่อแรกเริ่มนั้น หาเป็นเช่นนี้ไม่
เราบอกท่านทั้งหลายว่า ผู้ใดหย่าร้างภรรยาและแต่งงานกับอีกคนหนึ่ง เขาก็ทำผิดประเวณี เว้นแต่ในกรณีแต่งงานไม่ถูกต้อง”
บรรดาศิษย์ทูลพระองค์ว่า “ถ้าสภาพของสามีกับภรรยาเป็นเช่นนี้ ก็ไม่ควรจะแต่งงานเลย” พระองค์ตรัสว่า “ไม่ใช่ทุกคนเข้าใจคำสอนนี้ คนที่เข้าใจคือคนที่พระเจ้าประทานให้ เพราะว่า บางคนเป็นขันทีตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา บางคนถูกมนุษย์ทำให้เป็นขันที และบางคนทำตนเป็นขันทีเพราะเห็นแก่อาณาจักรสวรรค์ ผู้ที่เข้าใจได้ ก็จงเข้าใจเถิด”

>>>>>>>>>>>>>>>>

วันศุกร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2563

For My Treasured Family......Challenge Day1 ต้องโกรธไหมนี่

    

Bible Diary 14/8/2020
  มีช่วงชีวิตหนึ่งในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่เราพยายามหาความหมายของชีวิต จำได้ว่า 11-12 ขวบนี่แหละ และเราก็ได้คำตอบจากหนังสือ "พหรมจรรย์มรรค" และ Think and Grow Rich ของ Napoleon Hill.......

แต่ทั้งหมดนั้นก็ยังสู้คำสอนของพระพุทธเจ้าหรือพระวาจาของพระเจ้าไม่ได้เลย เราเลยท้าทายตัวเองว่า ชีวิตเรา 365 วัน ควรบันทึกไว้เพื่อแบ่งปันประสบการณ์จากการรำพึง เพราะชีวิตอย่างไรเสียต้องได้พบเจอกิเลสทั้งหลายที่เข้ามาทดสอบเราวนไปเสมอ

เรื่องของเมื่อวาน........(การสมมติตัวละครและสถานที่เพื่อเพิ่มอรรถรส หากไปตรงกับใคร ต้องขออภัยมาณ.ที่นี้ด้วย) 

ฮิลตัน : วันนี้เราคงต้องเร่งรัดการชำระหนี้ของบริษัทโซเซกับยูดาสแล้วล่ะ เขาสัญญาไว้ไม่ใช่หรือที่จะชำระเราในวันนี้

ลอนดอน : จริง แต่เขาบอกว่าวันนี้เขาไม่ว่างไปธนาคารให้เรา ขอรอเป็นพรุ่งนี้นะ

ฮิลตัน : เมื่อวานซืน (วันก่อนเมื่อวาน) เขาก็พูดแบบนี้ไม่ใช่หรือ และรับปากว่าจะไปทำให้เราวันนี้

ลอนดอน : ใช่ เขาบอกว่าแต่ถ้าเร่งมากเขาจะไปให้หลังเลิกงาน

ฮิลตัน : ถ้าอย่างนั้นเราจะได้เงินทันไปให้กับคนที่เขากำลังเดือดร้อน รอเงินเรามาเป็นเดือนแล้วหรือ คงต้องรอได้เงินไปอีก สองวันใช่ไหมถ้าไปเอาเช็คเข้าตอนเย็นขนาดนั้น และนี่ก็วันพฤหัสบดีแล้ว

ลอนดอน : ใช่ค่ะ

(ตัดมาที่รอดเฉย)

รอดเฉย : สวัสดีครับ เราจะประชุมออนไลน์กันเลยไหมครับเพื่อจะได้สรุปกิจกรรมที่เราจะเดินไปข้างหน้าตามแผนความร่วมมือที่เราวางกันไว้

ลอนดอน : ได้ค่ะ เดี๋ยวไปตามคุณฮิลตันมาประชุมก่อนนะคะ คุณรอดเฉยเรียกประชุมในระบบได้เลยค่ะ

ลอนดอนและฮิลตัน : สวัสดีค่ะคุณรอดเฉย 

ฮิลตัน : เรามาดูแผนรวมที่เราวางไว้เลยนะคะ คุณลอนดอนได้ลงกิจกรรมที่เกี่ยวข้องและวันที่ไว้เรียบร้อยแล้วค่ะ สำหรับงานที่เราต้องส่งก่อนวันประชุมคราวต่อไป มีส่วนที่คุณรอดเฉยต้องช่วยคุณลอนดอนด้วยนะคะ ไม่ทราบว่าคุณรอดเฉยพอใจหรือต้องการแก้ไขอะไรไหมคะ

รอดเฉย : ดูดีแล้วครับ ไม่มีอะไรจะแก้ไขครับ แต่เออ.......ผมขอถามหน่อยครับว่าตกลงตอนนี้เราจะขายอะไรกันบ้างครับ

ลอนดอนและฮิลตัน : ?!?!?

ฮิลตัน : (สุดหายใจลึกๆ) เออ ไม่ทราบคุณรอดเฉยได้ศึกษา Business Model Canvas ที่เราคุยกันหรือเปล่าคะ

รอดเฉย : ครับ

ฮิลตัน : (โอเค ทวนครั้งที่ ......) งั้นขออนุญาตอธิบายแบบนี้ละกันนะคะ เผื่อจะเข้าใจขึ้น .........🔊👄👄👄

รอดเฉย : เข้าใจครับ แต่เรื่องไฟฟ้านี่เราจะขายอะไรดีครับ

ฮิลตัน : ?!?!?

 .................ครึ่งชั่วโมงผ่านไป.....

รอดเฉย : สรุปวันนี้เราประชุมผู้บริหารนะครับ คำถามของผมคงหมายถึงต้องรอคุณลอนดอนไปทำรายละเอียดมาก่อนนะครับ พอดีผมใจร้อนอยากเห็นภาพก่อนน่ะครับ

ฮิลตัน : ค่ะ งั้นเราประชุมกันอีกทีวันที่ 22 นะคะ

ลอนดอนและรอดเฉย : ค่ะ ครับ

When you wake up in the morning, tell yourself: The people I deal with today will be meddling, ungrateful, arrogant, dishonest, jealous, and surly. They are like this because they can’t tell good from evil. But I have seen the beauty of good, and the ugliness of evil, and have recognized that the wrongdoer has a nature related to my own—not of the same blood or birth, but the same mind, and possessing a share of the divine. And so none of them can hurt me. No one can implicate me in ugliness. Nor can I feel angry at my relative, or hate him. We were born to work together like feet, hands, and eyes, like the two rows of teeth, upper and lower. To obstruct each other is unnatural. To feel anger at someone, to turn your back on him: these are obstructions.

บทอ่านจากหนังสือประกาศกเอเสเคียล (อสค 12:1-12)
             
องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า “บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย ท่านอาศัยอยู่ในหมู่พงศ์พันธุ์กบฏ เขามีตาเพื่อเห็น แต่ไม่ยอมดู มีหูเพื่อฟัง แต่ไม่ยอมฟัง เพราะเขาเป็นพงศ์พันธุ์กบฏ บัดนี้ บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย ท่านจงจัดเตรียมข้าวของสำหรับถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลย แล้วออกเดินทางไปเป็นเชลยในเวลากลางวันเพื่อให้ทุกคนเห็น ท่านจะต้องออกเดินทางไปเป็นเชลยจากสถานที่หนึ่งไปยังอีกสถานที่หนึ่งต่อหน้าเขา เขาอาจจะเข้าใจได้ว่าตนเป็นพงศ์พันธุ์กบฏ จงนำข้าวของออกมาตอนกลางวันให้เขาเห็น เหมือนเป็นข้าวของของผู้ถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลย จงเจาะช่องในกำแพงต่อหน้าเขา แล้วออกไปตามช่องนั้น จงยกข้าวของใส่บ่าต่อหน้าเขา แล้วแบกออกไปเมื่อมืดแล้ว ท่านจงคลุมใบหน้าเพื่อจะไม่เห็นพื้นดิน เพราะเราทำให้ท่านเป็นเครื่องหมายสำหรับพงศ์พันธุ์อิสราเอล”


ข้าพเจ้าก็ทำตามที่ข้าพเจ้าได้รับคำสั่ง ข้าพเจ้านำข้าวของออกมาเวลากลางวัน เหมือนเป็นข้าวของของผู้ถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลย ในเวลาเย็นข้าพเจ้าใช้มือเจาะช่องในกำแพง เมื่อมืดแล้ว ข้าพเจ้าก็ออกไป แบกข้าวของออกไปต่อหน้าเขา
เช้าวันรุ่งขึ้น องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า “บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย พงศ์พันธุ์อิสราเอล พงศ์พันธุ์กบฏได้ถามท่านหรือไม่ว่า ‘ท่านกำลังทำอะไร’ จงตอบเขาว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ คำพยากรณ์นี้มีไว้สำหรับเจ้านายที่กรุงเยรูซาเล็มและพงศ์พันธุ์อิสราเอลทุกคนที่อาศัยอยู่ในเมืองนั้น’ จงพูดว่า ‘ข้าพเจ้าเป็นเครื่องหมายสำหรับท่าน ข้าพเจ้าได้ทำอย่างไร เขาทั้งหลายก็จะถูกบังคับให้ทำอย่างนั้น เขาจะถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลย’ เจ้านายซึ่งอยู่ในพวกเขาจะต้องยกข้าวของใส่บ่าเมื่อมืดแล้ว และจะออกไปทางกำแพงที่เขาทั้งหลายเจาะช่องให้ออกไปได้ เขาจะคลุมใบหน้าเพื่อจะมองไม่เห็นแผ่นดินอีก”

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว (มธ 18:21-19:1)
           เวลานั้น เปโตรเข้ามาทูลถามพระเยซูเจ้าว่า “พระเจ้าข้า ถ้าพี่น้องทำผิดต่อข้าพเจ้า ข้าพเจ้าต้องยกโทษให้เขาสักกี่ครั้ง ถึงเจ็ดครั้งหรือไม่” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “เราไม่ได้บอกท่านว่าต้องยกโทษให้เจ็ดครั้ง แต่ต้องยกโทษให้เจ็ดคูณเจ็ดสิบครั้ง”
อาณาจักรสวรรค์เปรียบได้กับกษัตริย์พระองค์หนึ่ง ทรงประสงค์จะตรวจบัญชีหนี้สินของผู้รับใช้ ขณะที่ทรงเริ่มตรวจบัญชีนั้น มีผู้นำชายผู้หนึ่งเข้ามา ชายผู้นี้เป็นหนี้อยู่หนึ่งหมื่นตะลันต์ เขาไม่มีสิ่งใดจะชำระหนี้ได้ กษัตริย์จึงตรัสสั่งให้ขายทั้งตัวเขา บุตร ภรรยาและทรัพย์สินทั้งหมดเพื่อใช้หนี้ ผู้รับใช้กราบพระบาททูลอ้อนวอนว่า ‘ขอทรงพระกรุณาผัดหนี้ไว้ก่อนเถิด แล้วข้าพเจ้าจะชำระหนี้ให้ทั้งหมด’ กษัตริย์ทรงสงสารจึงทรงปล่อยเขาไปและทรงยกหนี้ให้ ขณะที่ผู้รับใช้ออกไป ก็พบเพื่อนผู้รับใช้ด้วยกันซึ่งเป็นหนี้เขาอยู่หนึ่งร้อยเหรียญ เขาเข้าไปคว้าคอบีบไว้แน่น พูดว่า ‘เจ้าเป็นหนี้ข้าอยู่เท่าไร จงจ่ายให้หมด’
เพื่อนคนนั้นคุกเข่าลงอ้อนวอนว่า ‘กรุณาผัดหนี้ไว้ก่อนเถิด แล้วข้าพเจ้าจะชำระหนี้ให้’ แต่เขาไม่ยอมฟัง นำลูกหนี้ไปขังไว้จนกว่าจะชำระหนี้หมด เพื่อนผู้รับใช้อื่นๆ เห็นดังนั้นต่างสลดใจมาก จึงนำความทั้งหมดไปทูลกษัตริย์ พระองค์จึงทรงเรียกชายผู้นั้นมา ตรัสว่า ‘เจ้าคนสารเลว ข้ายกหนี้สินของเจ้าทั้งหมดเพราะเจ้าขอร้อง เจ้าต้องเมตตาเพื่อนผู้รับใช้ด้วยกัน เหมือนกับที่ข้าได้เมตตาเจ้ามิใช่หรือ’ กษัตริย์กริ้วมาก ตรัสสั่งให้นำผู้รับใช้นั้นไปทรมานจนกว่าจะชำระหนี้ทั้งหมด พระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์จะทรงกระทำต่อท่านทำนองเดียวกัน ถ้าท่านแต่ละคนไม่ยอมยกโทษให้พี่น้องจากใจจริง”
เมื่อพระเยซูเจ้าตรัสเรื่องนี้จบแล้ว จึงเสด็จออกจากแคว้นกาลิลีเข้าไปในแคว้นยูเดีย อีกฟากหนึ่งของแม่น้ำจอร์แดน