ไสยศาสตร์กับวิทยาศาสตร์ จริงๆเป็นเรื่องเดียวกัน เพียงแต่ว่าคนจะเรียกสิ่งที่ยังไม่เข้าใจว่าเป็นไสยศาสตร์ และสิ่งที่อธิบายเป็นตุเป็นตะว่าวิทยาศาสตร์ แต่องค์พระพุทธเจ้าเป็นอัจฉริยะที่เข้าใจทั้งสองเรื่องอย่างลึกซึ้ง ที่เขียนนี่ก็เพื่อให้ผู้ที่มาอ่านได้ประโยชน์คือไม่ให้งมงาย เพราะวิทยาศาสตร์คือการนำเรื่องที่เราไม่รู้มาหาเหตุผล เพื่อต่อยอดความรู้ให้เป็นประโยชน์ต่อไป
“พระพุทธศาสนาต้องเป็นวิทยาศาสตร์ ถ้าเป็น Philosophy ก็ยังไม่ถึงหัวใจของพระพุทธศาสนา เป็นการศึกษาคาดคะเน เทียบเคียงเกี่ยวกับพุทธศาสนา ถ้าเป็นไสยศาสตร์มันก็เป็นเปลือกหุ้มนอกสุดของศาสนา ติดมาในสมัยดึกดำบรรพ์ ไม่ใช่พระศาสนาที่แท้จริง ขอให้ยึดหลักธรรมะ ตามวิทยาศาสตร์เสมอ เพราะมันคือหน้าที่ของสิ่งมีชีวิต ตามกฎของธรรมชาติ วิทยาศาสตร์ที่เหมาะสมจะให้ชีวิตอยู่รอด ที่ว่า The fitted is survival ถ้าไม่เหมาะสมก็คือไม่รอด แล้ว fitted มันก็คือมัชฌิมาปฏิปทา ที่เรารู้ดีว่าเป็นหัวใจของพุทธศาสนาอย่างไร”
สนทนาเรื่องธรรมคำเดียว พุทธทาสภิกขุ
เราไม่ใช่คนพุทธนะ แต่สนใจมากเลยเพราะพุทธศาสนาเป็นศาสนาของผู้มีปัญญา เพื่อนๆมักจะบอกว่าเราทำไมจึงมักทำนายได้ และมักมีลางสังหรณ์ ต้องบอกว่าเพราะมันเป็นวิทยาศาสตร์น่ะสิ ถ้าไม่ใช่ก็จะทำนายไม่ได้หรอกเพราะเราจะหาหลักอะไรไม่ได้เลย เพราะว่าเราเป็นวิศวกร ไม่ค่อยเชื่ออะไรง่ายๆหรอก แต่โดยสายเลือด คนในครอบครัวดูลายมือ โหงวเฮ้ง ดวงจีนได้ค่อนข้างเป็นที่เชื่อถือของคนมากมาย เป็นการดูแบบสมัครเล่นไม่เคยจริงจัง แต่คนก็ยังไปมาหาสู่ปรึกษากันทั่วไปทั้งในเมืองไทย สิงคโปร์ ฮ่องกง มีญาติอยู่หลายแห่ง แต่ก็ดูกันได้เหมือนกัน ถ้าจะบอกว่าไสยศาสตร์ถ่ายทอดทางสายเลือดก็อยากจะตอบว่าใช่กับไม่ใช่ ที่ว่าใช่คือการสืบทอดทางสายเลือด ที่ไม่ใช่คือไม่ใช่ไสยศาสตร์ที่ถ่ายทอดทางสายเลือด จริงๆเป็นเรื่องความสามารถพิเศษที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม อย่างเช่นลูกของศิลปินหลายคนก็จะเป็นคนที่มีความสามารถพิเศษทางศิลป์ ความสามารถพิเศษที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมหลายอย่างไม่เห็นมีใครว่าเป็นไสยศาสตร์ แต่พอด้านทำนายทายทักก็ว่าเป็นไสยศาสตร์มีองค์อะไรกันบ้าง
มีหลายคนมีปัญหากับการดูแลลูกและไม่รู้จะทำอย่างไร ก็ไปพึ่งหมอดู สิ่งที่อยากจะแชร์คือ อยากแบ่งปันประสบการณ์เผื่อว่าจะนำไปพิจารณาดูว่าจะไปใช้ประโยชน์ได้มั้ย การเลี้ยงลูกต้องเหมือนการปลูกต้นไม้ ทะนุถนอม งดใช้ความรุนแรง หากเริ่มต้นแบบนั้น ไม่เฉาตายก็เปลี่ยนรูปไป แต่ก็ห้ามบำรุงมากไป เพราะจะตายเหมือนกันหรือไม่ให้ผลอย่างที่ต้องการ ความเหมาะสมหรือมัชฌิมาปฏิปทาตามที่พระพุทธเจ้าว่าดีที่สุด แต่ทำยาก เพราะถึงเวลาจะมีอัตตาของพ่อแม่เข้ามาด้วยในส่วนลึก คือความกลัวของตัวเองทั้งหลาย ในที่สุดก็ไปลงที่ความคาดหวังในตัวลูก ก็เสียรูป แล้วจะดูแลกันอย่างไร เราก็มาทำความเข้าใจในความเป็นลูกที่มีอัตลักษณ์ของตัวเองอยู่ดีกว่านะคะ
การรู้จักว่าควรส่งเสริมลูกอย่างไร สามารถบอกได้จากลายมือและลักษณะโครงสร้างของมือ หมดเวลาแล้ว ติดตามตอน 2 นะคะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
You are free to comment. We will treat it as our honor.